วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กันเกรา


ชื่อสามัญ                     Anan, Tembusu
ชื่อวิทยาศาสตร์             Fagraea fragrans Roxb.                     
วงศ์                           LOGANIACEAE
ชื่ออื่นๆ                 กันเกรา (ภาคกลาง), ตะมะซู ตำมูซู (มลายู-ภาคใต้), ตาเตรา (เขมร-ภาคตะวันออก), ตำเสา ทำเสา (ภาคใต้),
มันปลา (ภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ลักษณะทั่วไป
กันเกราเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ลำต้นสูงเต็มที่ราว ๒๐-๓๐ เมตร พบขึ้นอยู่ตามธรรมชาติทุกภาคของประเทศไทย
บริเวณที่ลุ่ม ริมน้ำ
 หรือป่าดิบ พบมากบริเวณภาคตะวันออกและภาคใต้ ลำต้น มีเปลือกหยาบ สีน้ำตาลปนดำ แตก ระแหงเป็นร่องไม่เป็นระเบียบ 
ปลายกิ่งห้อยลง
ใบออกเป็นคู่ๆ ตรงข้ามกัน ใบสีเขียวแก่ค่อนข้างหนา รูปทรงยาวรี ปลายใบแหลม โคนใบเรียว เป็นครีบไปตามก้าน ใบยาวราว
 ๘-๑๒ เซนติเมตร
 กว้างยาว ๒.๕-๓.๕ เซนติเมตร ก้านใบยาว ๑-๒ เซนติเมตร

ดอกออกเป็นช่อตามง่ามใบหรือปลายกิ่ง เมื่อดอกบานใหม่ๆ เป็นสีขาว แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกเป็นรูปแตรหลอดยาว
 ราว ๑ เซนติเมตร
 ปลายหลอดเป็นกลีบ ๕ กลีบ ปลายกลีบแบนมน ม้วนไปด้านหลัง มีเกสรตัวผู้ ๕ อัน ก้านเกสรตัวผู้ยาวพ้นปากดอกประมาณ
 ๑ เซนติเมตร ในแต่ละ
ช่อดอกมีดอกย่อยอยู่รวมกันราว ๑๕-๒๕ ดอก ทยอยบานติดต่อกันหลายวัน ทำให้มีกลิ่นหอมอยู่ได้ราว ๗ วัน ดอกกันเกรา
เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม
แรง และส่งกลิ่นไปได้ไกลที่สุดชนิดหนึ่ง แต่กลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ไม่ฉุนจัดเหมือนดอกราตรีที่หอมแรง และส่งกลิ่นไปได้ไกล
เช่นเดียวกัน ผลกันเกรา
มีขนาดเล็กประมาณ ๐.๖ เซนติเมตร เมื่อแก่มีสีแดง

กันเกรามีเนื้อไม้สีเหลืองอ่อน ละเอียด แข็ง ทนทาน ป้องกันปลวกได้ดี คนไทยรู้จักกันเกราเป็นอย่างดีทุกภาค เพราะเป็
นต้นไม้พื้นบ้านดั้งเดิมที่มีถิ่น
กำเนิดในประเทศไทยนี้เอง ในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ พ.ศ.๒๔๑๖ กล่าวถึงกันเกราว่า  "กันเตรา : ต้นไม้อย่างหนึ่ง 
แก่นทำเสาทนนัก ใช้ทำยา
แก้โรคบ้าง มีอยู่ในป่า" น่าสังเกตว่าในหนังสืออักขราภิธานศรับท์ เรียกกันเกราว่า กันเตรา แต่สุนทรภู่เรียกชื่อในนิราศ
พระบาทว่ากันเกรา เช่นเดียว
กับในลิลิตตะเลงพ่าย พระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ภาคเหนือและอีสานเรียก มันปลา
 ภาคใต้เรียก ตำเสา
 หรือทำเสา ส่วนภาษาอังกฤษเรียก Tembusaี
การขยายพันธ์
โดยการเพาะเมล็ด
ถิ่นกำเนิด
ป่าเบญจพรรณและตามที่ใกล้แหล่งน้ำใน ประเทศอินเดีย, มาเลเซีย, พม่า, เวียดนาม และประเทศไทย
ประโยชน์
เนื่องจากกันเกราเป็นต้นไม้พื้นบ้านดั้งเดิมของไทย คนไทยจึงรู้จักคุ้นเคยและใช้ประโยชน์จากกันเกราหลายด้านด้วยกัน
ด้านใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรค
 ตำราประมวลสรรพคุณยาไทยว่า ด้วยพฤกษชาติฯ ของโรงเรียนแพทย์แผนโบราณ สำนักวัดพระเชตุพนฯ บรรยายสรรพคุณ
เอาไว้ว่า "แก่น : รสเฝื่อน
ฝาด ขม เข้ายาบำรุงธาตุ แก้ไข้จับสั่น แก้หืด ไอ มองคร่อ (โรคชนิดหนึ่ง เสมหะแห้งอยู่ในลำหลอดปอด) ริดสีดวง ท้องมาน
 แน่น หน้าอก ลงท้องเป็น
มูกเลือด แก้พิษ ฝีกาฬ บำรุงม้าม แก้เลือดลมพิการ เป็นยาอายุวัฒนะ เปลือกบำรุงโลหิต ผิวหนังพุพอง ปวดแสบปวดร้อน"
ในตำราบางเล่มมีสรรพคุณ
เพิ่มเติมคือ "บำรุงร่างกาย แก้ปวด ตามข้อ แก้ไข้"

นอกจากแก่นแล้ว เปลือกของกันเกราก็ใช้ทำยาได้ แต่สรรพคุณน้อยกว่าแก่น หลายตำราจึงไม่ได้เอ่ยถึงสรรพคุณของเปลือกเลย
 เนื้อไม้กันเกรานับเป็น
เนื้อไม้ชนิดดียิ่งอย่างหนึ่ง เพราะมีสีเหลืองอ่อน เนื้อละเอียด เหนียว แข็ง ทน ทานมาก ทนปลวกได้ดี ตกแต่งง่าย ขัดเงาได้งดงาม
 เหมาะสำหรับทำ
พื้นบ้าน ทำเสาเรือน (มีบรรยายไว้ใน หนังสืออักขราภิธานศรับท์ว่า "แก่น ทำเสาทนนัก" และชื่อในภาคใต้คือต้นทำเสา)
ทำเครื่องเรือน ทำโลงศพของชาวจีน (หีบจำปา) เหมาะแก่การแกะสลัก เป็นต้น มีชื่อทางการค้าในภาษาอังกฤษว่า Anan
 แต่มีจำหน่ายในตลาดน้อย เพราะค่อนข้างโตช้าและไม่ขึ้นเป็นป่าพื้นที่กว้างใหญ่เหมือนไม้เศรษฐกิจชนิดอื่น
ในประเทศไทยถือว่ากันเกราเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง แม้ไม่ระบุให้ใช้ปลูกรอบบ้านเรือนที่อยู่อาศัย แต่ใช้เป็นไม้เสาเข็มในพิธีวาง
ศิลาฤกษ์อาคาร ซึ่งเสา
เข็มนี้มีไม้ ๙ ชนิด ไม้กันเกราเป็นไม้มงคลอันดับที่ ๓ เชื่อว่ากันเกราช่วยปกป้องคุ้มครองและป้องกันภยันตรายต่างๆ ได้ กันเกรา
เป็นต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบ
รูปทรงพุ่มงดงาม กล่าวคือ เมื่อยังไม่โตเต็มที่ทรงพุ่มเป็นรูปกรวยปลายมน เมื่อโตเต็มที่แล้วทรงพุ่มค่อนข้างกลม ใบเขียวเข้มเป็นมัน
 ปลูกง่ายแข็งแรง
ทนทาน เหมาะปลูกในบริเวณบ้านหรือที่สาธารณะ ประกอบกับดอกที่มีกลิ่นหอมแรง ส่งกลิ่นไปไกล ทั้งยังหอมสดชื่นไม่ฉุน จึงน่า
ปลูกอย่างยิ่ง แม้
กันเกราจะค่อนข้างโต้ช้า แต่หากผู้ปลูกเอาใจใส่บ้างพอสมควรก็จะได้ชื่นชม รูปทรง ร่มเงา และกลิ่นหอม ภายในเวลาไม่เกิน ๑๐ ปี
 แล้วหลังจากนั้น
ก็จะได้รับคุณค่าดังกล่าวจากกันเกราไปอีกนานแสนนาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น